ลุยขับเคลื่อนแผนงาน ‘จังหวัดอาสา‘ 7 หน่วยงานใน 5 จังหวัดนำร่อง บูรณาการทรัพยากรลดใช้งบฯ ซ้ำซ้อน


VIEW: 275   SHARE: 0    
เผยแพร่โดย:   by  กลุ่มงานสื่อสารสังคม

เครือข่ายภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง หรือ “ภาคีอาสา” จาก 7 หน่วยงาน “สช.-สสส.-สปสช.-สวรส.-บพท.-พอช.-นิด้า” เตรียมเดินหน้าบูรณาการทำงานในระดับพื้นที่ มุ่งสร้างการมีส่วนร่วม ระดมกลไกทำงาน-ทรัพยากร-ความรู้ จากภาคส่วนต่างๆ มาร่วมออกแบบทิศทาง-แผนการพัฒนาใน 5 พื้นที่จังหวัดนำร่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต แก้ไขปัญหาประชาชน

 

 

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกันจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่าย อาสาภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง (แผนงานการสร้างจังหวัดเข้มแข็งโดยใช้พื้นที่เป็นฐานและการบูรณาการทุกภาคส่วน) ระหว่างวันที่ 2-4 มี.. 2568 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร

 

สำหรับภาคีเครือข่ายหน่วยงานยุทธศาสตร์ทั้ง 7 หน่วยงาน ที่รวมตัวกันภายใต้คณะกรรมการภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง (ภสพ.) หรือ “ภาคีอาสา” (Area Strengthening Alliance - ASA) เพื่อร่วมกันบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ได้จัดเวทีดังกล่าวขึ้นเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและเครือข่ายระดับจังหวัด ใน 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ เชียงราย ขอนแก่น นครสวรรค์ ตราด และพัทลุง ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน รวมถึงปูพื้นฐาน และวางแนวทางให้ภาคีอาสา ASA สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน และภาคีระดับพื้นที่เข้าร่วมกว่า 100 คน

 

 

นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ ที่ปรึกษา สช. และหัวหน้าคณะผู้ทำงานภาคีอาสา เปิดเผยว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งยังเป็นเวทีของการ KICK OFF การทำงานของภาคีอาสา ถือเป็นช่วงเริ่มต้นในการเดินหน้าแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนจังหวัดอาสา ที่ภาคีทั้ง 7 หน่วยงานจะบูรณาการกลไก ทรัพยากร และองค์ความรู้ต่างๆ มาทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยไม่ยึดติดหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง อันจะช่วยลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ และตอบสนองต่อปัญหาความต้องการจริงของพื้นที่ได้มากขึ้น

 

ทั้งนี้ การดำเนินงานในปี 2568 จะเริ่มต้นนำร่องที่ 5 จังหวัด โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพหลักที่ดูแลแต่ละแห่ง ได้แก่ เชียงราย (สปสช.) นครสวรรค์ (สช.) ขอนแก่น (สสส.) ตราด (นิด้า) และพัทลุง (พอช.) เพื่อให้เกิดการสานพลังและถักทอเครือข่ายที่หลากหลายในพื้นที่ มาร่วมมือกันทำงาน กำหนดวิสัยทัศน์เป้าหมาย และสร้างแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม ก่อนที่จะขยายผลในปี 2569 ให้ครอบคลุมทุกเขตสุขภาพ เพื่อนำไปสู่การสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทั้งการลดอัตราการป่วย การเพิ่มการเข้าถึงบริการและการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน

 

“ในช่วงหลังจากนี้ ภาคีเครือข่ายอาสาตามแต่ละจังหวัดก็จะมีการกลับไปตกผลึก วิเคราะห์ว่าเป้าหมายปลายทางของแต่ละที่เป็นอย่างไร อยากเห็นอะไร แล้วจะไปพัฒนาโครงการอย่างไร ซึ่งในระหว่างเดือน เม.ย. - พ.ค. นี้ก็อาจเกิดเป็นเวทีคิกออฟในแต่ละจังหวัดอีกครั้ง โดยเชิญชวนภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ท้องถิ่น ภาควิชาการ เอกชน ประชาสังคม ฯลฯ มาวางแผนการทำงานร่วมกัน ว่าแต่ละฝ่ายจะมีส่วนเข้ามาร่วมเติมเต็มในมิติไหนได้บ้าง ที่จะทำให้การเดินทางเริ่มต้นของเราเป็นไปอย่างมีพลัง และในเดือน มิ.ย. ภาคีต่างๆ ก็จะกลับมาประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอีกครั้ง” นพ.ปรีดา ระบุ

 

 

ในส่วนของกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งมี อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการ ภสพ. เป็นวิทยากรนำกระบวนการ ได้มีการสร้างแรงบันดาลใจและปลุกพลังให้กับผู้เข้าร่วม ผ่านกระบวนการที่ให้ครุ่นคิดและค้นหาความหมายหรือคุณค่าของเป้าหมายการทำงาน ก่อนที่จะเชื่อมวิสัยทัศน์ไปสู่แผนการปฏิบัติจริง ภายใต้การสำรวจต้นทุนการทำงาน เรียนรู้และทบทวนจากประสบการณ์จริงที่แต่ละคนเผชิญ เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกัน พร้อมทั้งค้นหาเส้นแดนขอบเขตของแต่ละหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจในการทำงานร่วมกัน

อ.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาของประเทศนั้นมีอยู่มากมายและซับซ้อน หากแต่กลไกในการทำงาน โดยเฉพาะตามระบบราชการ ไม่สามารถที่จะสร้างให้เกิดพลังเพื่อนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน ตัวอย่างเช่นเวทีประชุมที่น่าเบื่อหน่าย พูดคุยกันไปตามระเบียบวาระ คุยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง จัดอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่กลับต้องไปแก้ไขในเรื่องที่ยากและซับซ้อน ย่อมไม่สามารถทำให้เกิดปัญญาใหม่ๆ ขึ้นมาใช้แก้ไขปัญหาได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่กระบวนการพูดคุยเพื่อบูรณาการจะต้องไม่ทำให้น่าเบื่อ แต่ออกแบบเพื่อสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมที่แท้จริง

 

หลักการประชุมหารือต่างๆ นั้น จึงควรที่จะยึดบนหลัก 3I คือ 1. Information การใช้พลังจากข้อมูล (Data) ที่ตกผลึกมาเป็นความรู้ บวกกับการหามิติของคุณค่าและความหมาย (Meaning) ซึ่งจะนำไปสู่ 2. Inspiration การสร้างให้เกิดแรงบันดาลใจ ไปจับใจของผู้คน อันจะตามมาด้วย 3. Influent เกิดอิทธิพลที่นำไปสู่การลงมือทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยหลังจากนั้นก็รวบรวมข้อมูลกลับมาสู่การศึกษาเป็นความรู้ กลายเป็นวงจรที่ยกระดับการทำงานขึ้นไปเรื่อยๆ

 

 

ด้าน ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณะนิติศาสตร์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในฐานะประธานกรรมการ ภสพ. กล่าวว่า กระบวนการของ อ.ชัยวัฒน์ ได้ช่วยปลุกพลังเข้าไปถึงมิติทางจิตวิญญาณ มุ่งยกระดับไปสู่การสร้างสมรรถนะแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเชื่อว่าภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่จะกลับเข้าไปสู่การทำงานในระดับพื้นที่หลังจากนี้ จะเข้าไปช่วยสร้างให้เกิดความร่วมมือกันในหลายฝ่าย ตั้งต้นจากการบูรณาการร่วมกันระหว่าง 7 หน่วยงาน ก่อนที่จะนำไปสู่รูปธรรมของการผลักดัน ขับเคลื่อน ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายได้ต่อไป

 

“เส้นทางการขับเคลื่อนของภาคประชาชนนั้นยาวไกลเสมอ ซึ่งในการเดินทัพไกล สิ่งที่ต้องการเป็นอย่างมากคือพลังของความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้เส้นทางจะไม่ง่ายและเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ก็หวังว่าความมุ่งมั่นและการสานพลังร่วมกัน จะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างให้ชุมชนของประเทศไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว

NHCO Q&A