สช.-ภาคี ถกทิศทางจัดการ ‘ภัยพิบัติ’ ต่อยอด ‘มติสมัชชาสุขภาพ’ ดึงชุมชน-ท้องถิ่นรับมือโลกเดือด


VIEW: 122   SHARE: 0    
เผยแพร่โดย:   by  

1

 

สช. ระดมภาคีเครือข่ายเปิดเวทีแลกเปลี่ยน หารือข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อจัดการ “ภัยพิบัติ” ดึงบทบาทความสำคัญชุมชน-ท้องถิ่นมีส่วนร่วม ต่อยอด “มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2554” พร้อมพัฒนาข้อเสนอผ่าน “สมุดปกแดง” ลายแทงใหม่นโยบายภัยพิบัติ หวังรัฐบาลรับไปผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ ออกแบบการกระจายอำนาจ ให้ชุมชน-ท้องถิ่นร่วมรับมือภาวะภัยพิบัติยุคโลกเดือด

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่าย จัดการประชุมแลกเปลี่ยนการดำเนินงานและให้ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการจัดการภัยพิบัติ เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินงานและข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการจัดการภัยพิบัติ พร้อมอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนในประเด็นต่างๆ โดยมีภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม เข้าร่วมประชุมทั้งทาง on-site และผ่านระบบ online

 

ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ

 

ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสังคมและสุขภาวะ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น มีแนวโน้มถี่ขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้น อย่างประเทศไทยเองในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุการณ์อุทกภัยขึ้นหลายจังหวัด ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนไปจนถึงภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลให้ทาง สช. และภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศ เกิดข้อห่วงกังวลและมองถึงแนวทางการรับมือในเรื่องนี้

ผศ.พงค์เทพ กล่าวว่า ย้อนกลับไปช่วงปี 2554 หลังจากที่ประเทศไทยเกิดมหาอุทกภัยขึ้น ได้มีการมองถึงวิธีคิดเรื่องการจัดการภัยพิบัติ ที่หากปล่อยให้ภาครัฐดำเนินการเพียงลำพังย่อมทำได้ยาก จึงจำเป็นจะต้องเกิดการจัดการร่วมกัน โดยดึงบทบาทภาคส่วนชุมชน ท้องถิ่น ตลอดจนภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย จึงเกิดเป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 เรื่อง การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ซึ่งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้ความเห็นชอบและเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบในวันที่ 29 พ.ค. 2555 พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ผศ.พงค์เทพ กล่าวอีกว่า ภายหลังจากที่เกิดมติดังกล่าวแล้ว แม้ว่าการดำเนินงานจะมีความก้าวหน้าไปส่วนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าการจัดการภัยพิบัติในวันนี้ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร และข้อเสนอหลายเรื่องก็ยังไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม จึงจำเป็นที่เราจะต้องกลับมาทบทวนข้อเสนอเชิงนโยบายต่างๆ ร่วมกันอีกครั้ง ขณะเดียวกันในช่วงเดือนหน้าที่กำลังจะมีกิจกรรม ครม. สัญจรในพื้นที่ภาคใต้ ภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ก็จะมีการเสนอประเด็นในเรื่องของการจัดการภัยพิบัติเข้าไปอยู่ในวาระด้วยเช่นกัน

 

จารึก

 

นายจารึก ไชยรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายสาธารณะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สช. กล่าวว่า สำหรับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 เรื่อง การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ซึ่งได้รับฉันทมติร่วมกันเมื่อกว่า 13 ปีที่ผ่านมา มีสาระสำคัญที่ต้องการให้มีการทบทวนและปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน พร้อมให้ความสำคัญกับการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติที่ชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ตลอดจนมีข้อเสนอในการจัดตั้งกลไกและระบบงบประมาณสนับสนุน รวมไปถึงการวิจัย สร้างองค์ความรู้ พัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครภาคพลเมือง เป็นต้น

ทั้งนี้ หลังจากที่มีมติสมัชชาสุขภาพฯ ดังกล่าวแล้วก็ได้เกิดความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนไปแล้วส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มีการทบทวนและปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยมุ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มีการจัดทำคู่มือประชาชนในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ มีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าของแต่ละจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการจัดตั้งระบบเฝ้าระวัง ติดตาม เตือนภัย ไปจนถึงสนับสนุนการเตรียมความพร้อมรับมือในระดับชุมชน เป็นต้น

ขณะที่ ดร.เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติภัยพิบัติต่างๆ ในประเทศไทยช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าอุทกภัยเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน รองลงมาคือสึนามิ อัคคีภัย ภัยแล้ง และวาตภัย ซึ่งข้อเสนอเชิงนโยบายต่างๆ ที่เคยมีอย่างมติสมัชชาสุขภาพฯ แม้จะช่วยให้บางอย่างขับเคลื่อนไปได้ แต่บางอย่างก็ยังมีข้อจำกัด ทำให้ทางเครือข่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยและหน่วยงานภาคีต่างๆ ได้ร่วมกันทำการศึกษาทบทวนปัญหาและความท้าทาย ก่อนสรุปออกมาเป็น สมุดปกแดง ลายแทงใหม่นโยบายภัยพิบัติ ที่เป็นข้อเสนอนโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนประเทศไทยให้พร้อมรับมือภัยพิบัติในภาวะโลกเดือด

ดร.เพ็ญ กล่าวว่า หลังจากที่ภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันถกแถลง พร้อมจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นในหลายครั้ง จึงได้ออกมาเป็นสมุดปกแดงฉบับนี้ ที่มีการให้กรอบทิศทางนโยบายใน 3 ด้าน คือ 1. กระจายอำนาจการจัดการภัยพิบัติให้แก่ชุมชนและท้องถิ่น 2. ส่งเสริมการมีส่วนร่วม สร้างหุ้นส่วนการพัฒนาทุกภาคส่วน 3. บูรณาการข้อมูล และแผนการดำเนินการครอบคลุมภัยพิบัติทุกระยะ เพื่อลดความเสี่ยง สร้างความปลอดภัยและยั่งยืน พร้อมเสนอให้รัฐบาลกำหนดภัยพิบัติเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนข้อเสนอนโยบายฉบับนี้ ที่มีการให้ข้อเสนอนโยบายเอาไว้อีกหลากหลายข้อ ทั้งข้อเสนอนโยบายในระดับชาติและระดับท้องถิ่น

สำหรับเวทีการประชุมแลกเปลี่ยนในวันนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมที่ประกอบไปด้วยตัวแทนหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันถึงการกระจายอำนาจให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่มากขึ้น การกำหนดแผนงานที่ให้ผู้ปฏิบัติได้เข้ามามีส่วนร่วม การแก้ไขระเบียบข้อกฎหมายที่ติดขัด การบูรณาการข้อมูลรวมถึงทรัพยากรของหน่วยงานต่างๆ การจัดตั้งกองทุนและระบบงบประมาณสนับสนุน เป็นต้น

 

นพ.วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์

 

ด้าน นพ.วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า หนึ่งในประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายมีการพูดถึงในวันนี้ คือบทบาทความสำคัญของชุมชน การรวบรวมศักยภาพและความสามารถของผู้คน องค์กร มูลนิธิต่างๆ เข้ามาช่วยในการรับมือและจัดการกับภัยพิบัติ เช่นเดียวกับการมีผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander) เมื่อเกิดภัยพิบัติ ดังตัวอย่างเหตุการณ์เช่น ภัยพิบัติสึนามิ หรือทีม 13 หมูป่าติดถ้ำหลวง ที่สะท้อนถึงความสำคัญของการมีผู้บัญชาการเหตุการณ์ในระดับชาติ

“แต่ไม่ว่าเราจะจัดการกับเหตุการณ์ได้เก่งเพียงใด แต่การป้องกันสาธารณภัยก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า อย่างเหตุการณ์สึนามิถ้าหากเรามีระบบการป้องกันหรือเตือนภัยที่ดี ก็คงจะลดความเสียหายไปได้มาก หรือเหตุการณ์ถ้ำหลวงถ้าหากมีการปิดถ้ำตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์นี้ ฉะนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ข้อจำกัดในเรื่องของระบบงบประมาณ การสนับสนุนทรัพยากรต่างๆ ที่จะเข้ามาใช้ในการป้องกันก็ยังมีข้อจำกัด และเป็นสิ่งที่จะต้องหาทางออกร่วมกันต่อไป” รองเลขาธิการ คสช. กล่าว

23457

 

รูปภาพ

NHCO Q&A