ไม่ว่าจะถูกเรียกขานหรือจำกัดความอย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจบิดเบือนไปได้เลยก็คือ นี่เป็นกระบวนการจัดทำ “นโยบายชาติ” ด้วยน้ำพักน้ำแรงของ “ประชาชน” อย่างแท้จริง
เรากำลังพูดถึงกระบวนการ “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” และ งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๗ พ.ศ. ๒๕๖๗ หรือ NHA 17 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ พ.ย. นี้ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
คงไม่เกินความเป็นจริงสักเท่าใดนักสำหรับความข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหัวใจของกระบวนการคือ “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” ด้วยแล้ว
รูปธรรมของผลลัพธ์ อันหมายถึง “นโยบายสาธารณะ” หรือที่เรียกกันว่า “มติสมัชชาสุขภาพ” ที่จะผูกพันการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ย่อมสอดคล้องกับสถานการณ์ ความต้องการ ความเร่งด่วน และสามารถขับเคลื่อนไปสู่การแก้ปัญหาได้จริง
ในปีนี้ ๒๕๖๗ โจทย์ตัวโตที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันคือ “เศรษฐกิจ” ซึ่งมีตัวแปรทั้งจากปัจจัยภายในประเทศเอง และภายนอกประเทศที่อยู่เหนือการควบคุม นำไปสู่มิติปากท้อง หนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างทางสังคม สิ่งแวดล้อม และเชื่อมโยงไปถึงสุขภาพ
งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๗ พ.ศ. ๒๕๖๗ จึงจัดขึ้นภายใต้ประเด็นหลัก (Theme) “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” ซึ่งสอดรับกับถ้อยแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๑๒ ก.ย. ๒๕๖๗ ที่ตอนหนึ่งได้ระบุถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการพัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and Wellness Economy) และบริการทางการแพทย์ (Medical Hub) โดยต่อยอดจากธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์แผนไทยที่เป็นจุดแข็ง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการที่ประชากรโลกเข้าสู่สังคมสูงวัย
สำหรับ “เศรษฐกิจยุคใหม่” (New Era Economy) ในคำนิยามของ คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ ๑๗ และครั้งที่ ๑๘ พ.ศ. ๒๕๖๗ – ๒๕๖๘ คือ เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันและอนาคต ทั้งเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจฐานราก ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ภูมิปัญญา และการมีส่วนร่วมอย่างสำคัญของคนทุกวัยในการสร้างสรรค์ความเป็นหุ้นส่วน และสุขภาวะของคนทุกคน ตลอดทั้งสังคมและระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมให้มั่นคงและยั่งยืน
ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธาน คจ.สช. ครั้งที่ ๑๗ - ๑๘ อธิบายว่า ในอดีต เราอาจเคยพบเห็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์ในเชิงของผลกำไร โดยทิ้งร่องรอยและสร้างผลกระทบมากมาย ทว่าเศรษฐกิจยุคใหม่หลังจากนี้ จำเป็นต้องคิดเชื่อมโยงไปถึงมิติของสังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสุขภาพที่ยั่งยืนด้วย จึงจะไปรอดได้ท่ามกลางระบบการค้าของโลก ที่ปัจจุบันต่างให้ความสำคัญและกดดันไปยังภาคธุรกิจให้มีการคิดถึงในเรื่องนี้กันมากขึ้น
“กลไกของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติจะเข้ามาเป็น ‘พาร์ตเนอร์’ ที่หนุนเสริมให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจตามมาตรการหรือนโยบายรัฐนั้น มีการเดินหน้าที่คำนึงถึงสุขภาพ ตลอดจนมิติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนรอบข้างควบคู่อยู่ด้วยเสมอ” ดร.สัมพันธ์ ระบุ
- ๒ วาระสุขภาวะปี ๒๕๖๗
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ตลอด ๑๖ ปีเต็ม และกำลังเข้าสู่ปีที่ ๑๗ นั้นคือการประกาศระเบียบวาระ ที่จะเข้าสู่การพัฒนาในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ อันถือเป็น “วาระสุขภาวะประจำปี” ที่จะได้รับการพัฒนาไปสู่การเป็นนโยบายสาธารณะของชาติ หรือ “มติสมัชชาสุขภาพ”
แน่นอนว่า คจ.สช. จะต้องมีเกณฑ์การพิจารณาเพื่อ “ชั่งน้ำหนัก” ระเบียบวาระ หรือประเด็นที่มีความสำคัญ ตลอดจนจัดลำดับความสำคัญ ฉะนั้นในภาพรวมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๗ - ๑๘ คจ.สช. จึงได้กำหนดกรอบไว้ ๔ ข้อ
๑. คัดเลือกประเด็นที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เน้นเป็นประเด็นระดับประเทศ และมีหน่วยงานหรือองค์กรระดับชาติเป็นเจ้าภาพหลัก
๒. ปรับกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่สอดคล้องกับประเด็น สถานการณ์ และเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมคิด ร่วมเป็นเจ้าของ จนได้ข้อเสนอที่มีความพร้อมทางวิชาการ และมีเครือข่ายหน่วยงานหรือองค์กรพร้อมร่วมขับเคลื่อนชัดเจน
๓. มีการบูรณาการในการพัฒนานโยบาย (ขาขึ้น) และขับเคลื่อนเชิงระบบ (ขาเคลื่อน) รวมทั้งเชื่อมโยงการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานภาคีระดับพื้นที่และสมัชชาสุขภาพจังหวัด ๔. จัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติด้วยวิธีการที่ยืดหยุ่น ต่อเนื่อง และเปิดกว้าง
ในส่วนระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๗ ทางคณะอนุกรรมการกำกับ สนับสนุน และเชื่อมโยงกระบวนการสมัชชาสุขภาพ ได้มีการรวบรวมจากข้อเสนอของภาคีเครือข่ายที่ได้รับมาจำนวนกว่า ๒๓ เรื่อง ก่อนนำมากลั่นกรองอีกหลายครั้งและจัดออกเป็น ๖ กลุ่ม เพื่อเสนอให้ คจ.สช. พิจารณาถึงประเด็นที่มีความพร้อมและสามารถเดินหน้าได้
ขณะนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่ามีทั้งหมดจำนวน ๒ ระเบียบวาระ ที่จะพิจารณากันภายในปีนี้ ได้แก่ “การท่องเที่ยวแนวใหม่ สู่สุขภาวะและเศรษฐกิจไทยยั่งยืน” และ “พลิกโฉมกำลังคนเพื่อสังคมสุขภาวะ”
- อีก ๒ วาระเตรียมพัฒนาต่อปี ๒๕๖๘
นพ.สมชาย พีระปกรณ์ ประธานอนุกรรมการกำกับ สนับสนุน และเชื่อมโยงกระบวนการสมัชชาสุขภาพ เล่าว่า โจทย์หลักของ คจ.สช. ภายหลังรับไม้ต่อจากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๖ ได้มีการมองมาถึงประเด็นด้านเศรษฐกิจ ด้วยมองว่าเรื่องของเศรษฐกิจและสุขภาวะนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ จึงเลือกเป็น Theme หลักของการจัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในครั้งนี้
“เราต้องการยกเรื่องของเศรษฐกิจและสุขภาวะขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนในสังคมได้ตระหนักว่า เราไม่จำเป็นต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สามารถเลือกพัฒนาทั้งสองด้านไปพร้อมกันได้ หากมีการจัดแจงที่ดีมากพอ และการจัดแจงนั้นคือการมีนโยบายสาธารณะที่เข้าไปหนุนเสริมเติมเต็ม” นพ.สมชาย ระบุ
ประธานอนุกรรมการกำกับฯ ระบุอีกว่า ทั้ง ๒ ประเด็นที่ คจ.สช. ได้ประกาศเป็นระเบียบวาระสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๗ นี้ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่และส่งผลกระทบในระดับชาติ มีผู้คนที่เกี่ยวข้องในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะภาครัฐ ภาคประชาชน รวมถึงภาคเอกชนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ ที่สำคัญต้องเป็นประเด็นที่มีความพร้อมขององค์ความรู้ทางวิชาการ เพื่อสนับสนุนถึงทิศทางที่จะเดินหน้าในเรื่องดังกล่าวได้ต่อไป
อย่างไรก็ตามยังมีอีก ๒ ประเด็นสำคัญ ที่มีการมองว่าหากให้เวลาเพิ่มเติมแล้วจะมีความรอบด้านที่มากขึ้น สามารถคิดและเตรียมการได้อย่างรอบคอบมากขึ้น ทาง คจ.สช. จึงได้พิจารณาประกาศประเด็นที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มเติมอีก ๒ ประเด็น คือ ๑. การสร้างโอกาสและมูลค่าร่วมใน silver economy และ ๒. การเข้าถึงและการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างมีส่วนร่วมและสร้างสรรค์ ที่จะนำเข้าไปเป็นระเบียบวาระในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๘ ต่อไป
นพ.สมชาย ตอกย้ำว่า กระบวนการเดินหน้านโยบายสาธารณะนั้น ไม่ได้จบเพียงแค่การได้มติออกมาแล้วไปนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือที่เรียกว่าเป็น ‘ขาขึ้น’ เท่านั้น แต่งานส่วนสำคัญยังเป็นการเดินหน้าข้อเสนอดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม หรือที่เรียกว่า ‘ขาเคลื่อน’ ซึ่งอันที่จริงแล้วการปฏิบัติในขาเคลื่อนนี้สามารถเริ่มไปได้พร้อมกันกับช่วงของการพัฒนานโยบาย ที่มีการต่อยอดทางความคิดคู่ขนานกันไป
“ความจริงแล้วเราต่างรู้ว่างานที่ขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวหน้าได้นั้น ไม่ใช่งานของใครคนใดคนเดียว ไม่มีอัศวินขี่ม้าขาว แต่จะต้องใช้คนในสังคมที่พัฒนาตัวเองขึ้นมา กล้าที่จะฝันถึงสิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเอง แต่ยังเห็นไปถึงความเชื่อมโยงกับสังคมรอบตัว ฉะนั้นถ้าใครมีโอกาสก็สามารถที่จะเพิ่มแนวคิดเหล่านี้ให้กับงานของตัวเองได้ เช่น ถ้าคุณอยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว คุณก็อาจมีมุมมองว่าจะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเขามาแล้วได้ประโยชน์ เราเองก็ได้ประโยชน์ แล้วได้ประโยชน์อย่างไรที่ทำให้สุขภาวะทั้งของเราและของเขาไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ตรงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกันได้” นพ.สมชาย ให้ทัศนะ
- ‘ตลาดนัดนโยบาย’ – จัดสมัชชาฯ ๑๘ เร็วขึ้น
แน่นอนว่ากิจกรรมหลักภายในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ จะยังคงเป็นการพิจารณาระเบียบวาระและแสดงถ้อยแถลงของภาคีภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพฯ ทั้ง ๒ ประเด็น และเป็นฉันทมติที่จะถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้มีการรับทราบและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการตามบทบาทและหน้าที่ต่อไป
อย่างไรก็ตามในการจัดกิจกรรมปีนี้ ยังมีอีกหนึ่งสีสันสำคัญนั่นคือ “ตลาดนัดนโยบายสาธารณะ” (Policy Market) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหลักของการนำเสนอประเด็นนโยบายทางสังคมต่างๆ รวมถึงพื้นที่กลางเพื่อให้เกิดการหารือและแลกเปลี่ยนประเด็นที่อาจพัฒนาในสมัชชาสุขภาพฯ ปีถัดๆ ไปได้ด้วย
ทั้งนี้ ภายในตลาดนัดนโยบายสาธารณะ จะยังประกอบไปด้วย ๔ ส่วนย่อย ได้แก่ ๑. Policy café พื้นที่ลักษณะลานกาแฟที่ชักชวนให้คนได้เข้ามาพูดคุยถึงประเด็นทางสังคมต่างๆ ทั้ง Active Space และ Passive Space ๒. Creative space พื้นที่นำเสนอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ กินได้ เล่นได้ ฟังได้ จับต้องได้ รวมถึงพื้นที่ safe zone ให้กล้าคิด กล้าพูด ในประเด็นต่างๆ เช่น ทุนทางวัฒนธรรม, เกมส์เพื่อการเรียนรู้ของสังคม, ม้านั่งมีหู ด้านสุขภาพจิต, Policy watch เป็นต้น
๓. Policy Forum พื้นที่เวทีสาธารณะที่ภาคีเครือข่ายสามารถเข้ามานำเสนอคุณค่า ผลลัพธ์ วิธีการ หรือจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงนโยบาย อย่างเช่นประเด็นของสมัชชาสุขภาพฯ ปีถัดไป ๔. Policy market พื้นที่นิทรรศการขายนโยบาย ที่ภาคส่วนต่างๆ สามารถนำเสนอนโยบายหรือผลการขับเคลื่อนนโยบายที่หน่วยงาน องค์กร ภาคีต่างๆ มีการขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติ รวมถึงระดับพื้นที่
นอกจากนี้แล้ว อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทาง คจ.สช. ได้พิจารณาสำหรับกระบวนการในปีถัดไป คือการปรับช่วงเวลาการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๘ ให้เร็วขึ้นเป็นช่วงเดือน ก.ค. ๒๕๖๘ เพื่อให้ได้มติสมัชชาสุขภาพฯ เร็วขึ้น เพื่อสามารถเสนอต่อ ครม. ได้ภายในปี พ.ศ. เดียวกัน และสามารถส่งต่อไปยังหน่วยงานได้ทันในการทำแผนงบประมาณของปีถัดไป ซึ่งจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายได้เร็วมากขึ้นด้วย
ส่วนการกำหนด Theme ของสมัชชาสุขภาพฯ ครั้งที่ ๑๘ ในเบื้องต้น คจ.สช. ยังคงเห็นชอบให้กำหนดด้วยประเด็นเดิม คือ “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” แต่ในระหว่างนี้ก็จะยังคงมีการเปิดรับและวิเคราะห์ประเด็นและสถานการณ์ทางสังคมต่อไป พร้อมอาจทำการปรับ Theme หากเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ